28 ส.ค. รวม Check-list ก่อนส่งของเพื่อลดโอกาสพัสดุตีกลับ : กล่อง ซอง ฉลาก
ในการจัดส่งสินค้า โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจออนไลน์หรือร้านค้าที่มีออเดอร์จำนวนมาก ความผิดพลาดเล็กน้อย เช่น กล่องขาด ฉลากไม่ชัดเจน หรือที่อยู่ไม่ครบถ้วน ล้วนเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของปัญหาพัสดุตีกลับ ซึ่งส่งผลเสียทั้งในแง่ของต้นทุน และความพึงพอใจของลูกค้า สรุปแนวทางการตรวจสอบกล่องส่งพัสดุ ถุงไปรษณีย์ และฉลากจัดส่ง อย่างละเอียด พร้อม Check-list สำหรับใช้งานจริง ช่วยลดโอกาสความผิดพลาด และทำให้การจัดส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การตรวจสอบความพร้อมของกล่องพัสดุ
การเลือกใช้กล่องส่งพัสดุที่เหมาะสม และอยู่ในสภาพดี เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของสินค้าในระหว่างการขนส่ง การใช้กล่องที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้สินค้าเสียหาย ถูกปฏิเสธจากบริษัทขนส่ง หรือแม้กระทั่งทำให้ลูกค้าไม่พอใจ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้ขาย ดังนั้น การตรวจสอบความพร้อมของกล่องพัสดุก่อนใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็น
รายการตรวจสอบสำหรับกล่องพัสดุ
กล่องมีขนาดเหมาะสมกับสินค้า
กล่องควรมีขนาดที่พอดีกับสินค้าที่จะจัดส่ง ไม่ควรเลือกกล่องที่เล็กเกินไปจนทำให้สินค้าอัดแน่น เพราะอาจทำให้สินค้าชำรุดจากแรงกระแทก หรือแรงกดทับ ขณะเดียวกันก็ไม่ควรใช้กล่องที่มีขนาดใหญ่เกินไป เพราะอาจทำให้สินค้าเคลื่อนไหวภายในกล่องจนเกิดความเสียหาย และยังเพิ่มต้นทุนในการจัดส่งโดยไม่จำเป็น หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้วัสดุกันกระแทกเสริมภายในกล่อง เช่น กระดาษลูกฟูก พลาสติกกันกระแทก หรือโฟม
กล่องอยู่ในสภาพดี
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากล่องไม่มีรอยฉีกขาด เปียกชื้น หรือยุบตัว หากกล่องเคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ควรพิจารณาว่ากล่องยังคงแข็งแรงพอที่จะปกป้องสินค้าได้หรือไม่ กล่องที่เสียรูปหรือมีโครงสร้างอ่อนแออาจพังระหว่างการขนส่ง ส่งผลให้สินค้าได้รับความเสียหาย
ปิดกล่องด้วยเทปกาวอย่างเรียบร้อย
ควรใช้เทปกาวคุณภาพดีในการปิดผนึกกล่อง ทั้งด้านบนและด้านล่าง โดยเฉพาะบริเวณขอบกล่องและรอยต่อทุกจุด เพื่อป้องกันกล่องเปิดออกขณะเคลื่อนย้าย ควรใช้วิธีการปิดแบบ H-Tape หรือการติดเทปเป็นรูปตัว H เพื่อเพิ่มความแข็งแรงเป็นพิเศษ
ไม่มีฉลากหรือข้อมูลเก่าติดอยู่บนกล่อง
ในกรณีที่ใช้กล่องรีไซเคิล ควรลบหรือปิดทับฉลากเดิม หมายเลขพัสดุ หรือข้อมูลการจัดส่งครั้งก่อนให้หมด เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของเจ้าหน้าที่ขนส่ง ซึ่งอาจทำให้พัสดุไปผิดที่หรือส่งล่าช้า
กล่องสามารถรับน้ำหนักของสินค้าได้อย่างปลอดภัย
กล่องที่ใช้ควรสามารถรับน้ำหนักของสินค้าได้อย่างมั่นคง หากสินค้ามีน้ำหนักมาก ควรเลือกใช้กล่องแบบหนา กล่องลูกฟูกแบบ 5 ชั้น หรือกล่อง 2 ชั้น เพื่อเสริมความแข็งแรง และสามารถรองรับแรงกระแทกหรือแรงกดทับระหว่างการขนส่งได้ดีขึ้น
การเตรียมกล่องพัสดุให้พร้อมก่อนการจัดส่ง ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าเสียหาย แต่ยังช่วยให้การจัดส่งเป็นไปอย่างราบรื่น และประหยัดค่าใช้จ่ายจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ผู้ส่งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบกล่องทุกครั้งก่อนจัดส่ง เพื่อให้สินค้าถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัย
การเลือก และตรวจสอบซองไปรษณีย์
ถุงไปรษณีย์หรือซองบรรจุภัณฑ์ เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการจัดส่งสินค้าน้ำหนักเบา เช่น เสื้อผ้า เอกสาร สมุด หนังสือ หรือของใช้ทั่วไปที่ไม่แตกหักง่าย ซองไปรษณีย์มีหลายประเภท เช่น ซองพลาสติก ซองกระดาษ ซองกันกระแทก ซึ่งแต่ละประเภทก็เหมาะกับลักษณะสินค้าแตกต่างกันไป
รายการตรวจสอบสำหรับซองไปรษณีย์
เลือกซองที่มีขนาดพอเหมาะกับสินค้า
ซองควรมีขนาดที่พอดีกับสินค้าที่จะใส่ ไม่ควรเล็กจนแน่นเกินไป เพราะอาจทำให้สินค้าบิดงอหรือฉีกขาดได้ และไม่ควรใหญ่เกินไป เพราะสินค้าจะเคลื่อนที่ภายในซองระหว่างการขนส่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหาย หรือดูไม่เรียบร้อย หากจำเป็น ควรเสริมด้วยวัสดุกันกระแทกเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการจัดส่ง
หากสินค้ามีความเปราะบาง ควรใช้ซองกันกระแทก
สำหรับสินค้าที่มีโอกาสเสียหายจากแรงกระแทก เช่น กล่องเครื่องสำอาง แก็ดเจ็ต หรือสินค้ามีมุมแข็ง ควรเลือกใช้ซองที่มีชั้นบุฟองอากาศ (แอร์บับเบิล) ภายใน หรือบรรจุสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทกเพิ่มเติมก่อนใส่ลงในซองธรรมดา เพื่อป้องกันการเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้ายหรือขนส่ง
ตรวจสอบว่าไม่มีรอยฉีกขาดหรือรอยรั่ว
ซองที่มีตำหนิ เช่น รอยขาดเล็กน้อย รูรั่ว หรือเนื้อวัสดุเปื่อยยุ่ยจากการใช้งาน ควรหลีกเลี่ยงไม่ใช้งานต่อ เพราะอาจทำให้สินค้าเสียหายหรือหล่นหายระหว่างการจัดส่ง โดยเฉพาะซองพลาสติกที่อาจฉีกได้ง่ายเมื่อโดนของมีคม หรือซองกระดาษที่อ่อนตัวเมื่อโดนความชื้น
ปิดปากซองอย่างแน่นหนา
ซองหลายชนิดมีแถบกาวในตัว แต่หากไม่มั่นใจว่ากาวจะติดแน่นเพียงพอ ควรเสริมด้วยเทปกาวคุณภาพดี โดยเฉพาะบริเวณปากซอง เพื่อป้องกันไม่ให้ซองเปิดออกระหว่างการขนส่ง ในกรณีที่เป็นซองกันน้ำ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแนวปิดปากซองกันน้ำได้จริง และไม่เปิดออกง่าย
ลบหรือปิดข้อมูลเก่า
หากมีการนำซองกลับมาใช้ซ้ำ ควรตรวจสอบ และลบฉลากเดิม หมายเลขพัสดุ หรือบาร์โค้ดจากการใช้งานก่อนหน้านี้ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะฉลากที่มีชื่อและที่อยู่ของผู้รับ ผู้ส่งเดิม เพราะอาจทำให้บริษัทขนส่งสแกนผิด หรือจัดส่งผิดปลายทางได้
เพิ่มเติม ประเภทของซองไปรษณีย์
ซองพลาสติกธรรมดา: เหมาะกับเสื้อผ้า หรือของใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการการป้องกันพิเศษ
ซองกันกระแทก: ใช้กับสินค้าที่เปราะบางหรือเสียหายง่าย มีชั้นฟองอากาศบุภายใน
ซองกระดาษคราฟท์: เหมาะกับเอกสาร สมุด หรือสินค้าขนาดบางที่ไม่ต้องการการกันน้ำ
ซองใส่เอกสาร: ใช้สำหรับงานเอกสารราชการหรือเอกสารสำคัญที่ไม่ต้องการพับ
การเลือกใช้ซองไปรษณีย์อย่างถูกต้อง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่ง และลดปัญหาสินค้าชำรุดหรือหล่นหายระหว่างทาง ผู้จัดส่งควรตรวจสอบซองทุกครั้งก่อนใช้งาน เพื่อให้การส่งพัสดุเป็นไปอย่างราบรื่น
การจัดเตรียมฉลากจัดส่งสินค้าอย่างถูกต้อง
ฉลากพัสดุ คือส่วนที่สำคัญที่สุดในการระบุปลายทางของสินค้า ถือเป็นจุดอ้างอิงหลักของบริษัทขนส่งในการคัดแยก และจัดส่งพัสดุ หากฉลากมีข้อผิดพลาด เช่น ข้อมูลไม่ครบ พิมพ์ผิด หรืออ่านไม่ได้ อาจทำให้พัสดุไปผิดที่ ตีกลับ หรือแม้กระทั่งสูญหายได้
รายการตรวจสอบสำหรับฉลากพัสดุ
ใช้กระดาษสติ๊กเกอร์ความร้อน (Thermal Sticker)
แนะนำให้ใช้เครื่องพิมพ์ระบบ Thermal ซึ่งใช้กับสติ๊กเกอร์ความร้อนโดยไม่ต้องใช้หมึก ตัวอักษรคมชัด ติดแน่นบนบรรจุภัณฑ์ และทนต่อการขูดขีดได้ดี ไม่เลือนง่ายแม้พัสดุผ่านการขนย้ายหลายจุด จึงเหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบขนส่งที่มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา
พิมพ์ตัวอักษรด้วยขนาด และฟอนต์ที่อ่านง่าย
ควรเลือกฟอนต์มาตรฐาน เช่น Arial หรือ TH Sarabun ขนาดอักษรไม่น้อยกว่า 12 pt เพื่อให้ข้อมูลชัดเจน อ่านง่าย และช่วยให้ทั้งเจ้าหน้าที่ขนส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญ ได้แก่
ชื่อ-นามสกุลผู้รับ
ที่อยู่จัดส่ง (ระบุซอย/หมู่บ้าน/ชั้น/ห้องให้ชัดเจน)
รหัสไปรษณีย์ (ต้องถูกต้อง เพราะมีผลต่อระบบการคัดแยกอัตโนมัติของบริษัทขนส่ง)
เบอร์โทรศัพท์ผู้รับ (กรณีต้องติดต่อหรือมีปัญหาในการจัดส่ง)
ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล
ก่อนพิมพ์ฉลาก ควรตรวจสอบอีกครั้งว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วน ไม่ตกหล่น โดยเฉพาะรหัสคำสั่งซื้อ หรือหมายเลขพัสดุ (Tracking Number) ที่ใช้สำหรับติดตามสถานะการจัดส่ง หากเป็นระบบอัตโนมัติหรืออีคอมเมิร์ซ ควรให้ระบบตรวจสอบข้อมูลก่อนสร้างฉลากเพื่อลดข้อผิดพลาด
หลีกเลี่ยงการใช้เทปใสแปะทับฉลาก
การใช้เทปใสหรือเทปกาวแปะทับฉลาก แม้จะดูเหมือนช่วยป้องกันการเลอะหรือกันน้ำ แต่ความจริงอาจส่งผลเสีย โดยเฉพาะกับบาร์โค้ดหรือคิวอาร์โค้ด ซึ่งเครื่องสแกนอัตโนมัติของบริษัทขนส่งอาจอ่านข้อมูลไม่ออก เนื่องจากแสงสะท้อนจากเทป ทำให้เกิดความล่าช้า หรือพัสดุไม่ถูกสแกนเข้าสู่ระบบ
ติดฉลากในตำแหน่งที่เรียบและมองเห็นชัดเจน
ควรติดฉลากไว้ในบริเวณกึ่งกลางของด้านบนกล่อง หรือซองพัสดุ โดยเลือกพื้นที่ที่เรียบ ไม่มีรอยพับ รอยต่อ หรือพื้นผิวโค้งงอ เพราะจะทำให้ฉลากติดได้แน่น ไม่หลุดง่าย และไม่ผิดรูปจนบาร์โค้ดหรือข้อความเบี้ยวผิดตำแหน่ง หลีกเลี่ยงการติดฉลากบนขอบกล่อง หรือใกล้รอยปิดของเทป เพราะอาจเกิดการฉีกขาดหรือเปิดออกระหว่างการขนส่งได้ง่าย
คำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดเตรียมฉลาก
ฉลากสำรอง: หากส่งของมีมูลค่าสูงหรือต้องเดินทางไกล แนะนำให้พิมพ์ฉลากสำรองแล้วใส่ไว้ในกล่องเผื่อฉลากหลักชำรุดหรือหลุดหาย
ตรวจสอบกับระบบขนส่ง: แต่ละบริษัทขนส่ง (เช่น Kerry, Flash, J&T) อาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับฉลาก เช่น ตำแหน่งติด ขนาดของฉลาก หรือรูปแบบบาร์โค้ด ควรศึกษาคู่มือหรือข้อแนะนำจากบริษัทนั้น ๆ ด้วย
การเตรียมฉลากพัสดุที่ถูกต้อง และชัดเจน ไม่เพียงช่วยลดความผิดพลาดในการจัดส่ง แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบขนส่งโดยรวม ผู้ส่งควรตรวจสอบความถูกต้องของฉลากทุกครั้งก่อนส่งออก เพื่อให้พัสดุไปถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็ว และถูกต้อง
แนวทางเพิ่มเติมเพื่อป้องกันพัสดุตีกลับ
แม้ว่าการเตรียมกล่อง ถุงบรรจุภัณฑ์ และฉลากจัดส่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการส่งสินค้า แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ผู้ส่งควรใส่ใจเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้พัสดุตีกลับหรือสูญหาย ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้า และทำให้เสียค่าใช้จ่ายหรือเวลาโดยไม่จำเป็น
ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ของผู้รับ
ควรยืนยันว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในฉลากสามารถติดต่อได้จริง และเป็นเบอร์ที่ผู้รับใช้งานอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการจัดส่งไปยังที่อยู่ที่หายาก หรือพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ขนส่งอาจต้องติดต่อผู้รับเพื่อขอเส้นทางเพิ่มเติม หากไม่สามารถติดต่อผู้รับได้ในช่วงเวลาจัดส่ง พัสดุมีโอกาสถูกตีกลับหรือถูกเก็บไว้ในจุดพักเป็นระยะเวลานาน
แนวทางแนะนำ
แจ้งลูกค้าให้เตรียมรับสายจากบริษัทขนส่งในวันที่พัสดุใกล้ถึง
หากเป็นระบบอีคอมเมิร์ซ ควรตั้งค่าระบบให้ตรวจสอบความถูกต้องของเบอร์ก่อนสร้างคำสั่งซื้อ
เพิ่มข้อความเตือนบนบรรจุภัณฑ์
ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะพิเศษ หรือมีความเปราะบาง ควรเพิ่มข้อความแจ้งเตือนลงบนบรรจุภัณฑ์อย่างชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ขนส่งจัดการพัสดุอย่างระมัดระวัง ข้อความที่นิยมใช้ เช่น
“ของแตกง่าย” ใช้กับแก้ว เซรามิก หรือสินค้าเปราะบาง
“ห้ามวางซ้อน” สำหรับพัสดุที่ไม่สามารถรับน้ำหนักจากการซ้อนกล่องอื่น
“โปรดอย่าโยน” ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ควรใช้สติ๊กเกอร์เตือนมาตรฐาน หรือพิมพ์บนกระดาษที่ทนต่อความชื้น และติดในจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย
หลีกเลี่ยงการเขียนฉลากด้วยลายมือ
การเขียนฉลากด้วยลายมือ แม้จะสะดวก และรวดเร็วในบางสถานการณ์ เช่น การส่งของแบบเร่งด่วน หรือไม่มีเครื่องพิมพ์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงต่อการอ่านผิด การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน และไม่สามารถสแกนเข้าสู่ระบบได้ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการคัดแยกปลายทาง
ข้อเสียของฉลากเขียนมือ
ลายมือไม่ชัดเจน หรือแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
เครื่องสแกนบาร์โค้ดไม่สามารถอ่านข้อมูลได้
มีโอกาสสะกดผิด หรือตกหล่นข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสไปรษณีย์
แนวทางแนะนำ
ใช้ระบบพิมพ์ฉลากผ่านโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันของบริษัทขนส่ง
หากจำเป็นต้องเขียนมือจริง ควรเขียนด้วยปากกาหมึกดำ หัวแหลม และตรวจทานอย่างละเอียดทุกครั้งก่อนส่ง
ตรวจสอบที่อยู่ให้ตรงกับแผนที่หรือพิกัด GPS
ในกรณีที่ที่อยู่จัดส่งมีความซับซ้อน หรือมีหลายซอย ควรตรวจสอบว่าเขียนที่อยู่ให้ชัดเจน และแนะนำให้แนบพิกัด GPS หรือชื่อสถานที่อ้างอิง เช่น อาคาร ร้านค้า หรือจุดสังเกตใกล้เคียง เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่จัดส่งหาจุดหมายได้เร็วขึ้น
ใช้ระบบติดตามพัสดุ (Tracking)
ควรเลือกบริการขนส่งที่มีระบบติดตามพัสดุออนไลน์ และแจ้งรหัสติดตาม (Tracking Number) ให้ลูกค้าทราบโดยเร็วหลังจากส่งของ เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ด้วยตนเอง และเตรียมรับพัสดุได้ทันที
การลดโอกาสที่พัสดุจะตีกลับไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับบรรจุภัณฑ์หรือฉลากเท่านั้น แต่รวมถึงความใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับ ข้อมูลการติดต่อ และวิธีการส่ง การดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบจะช่วยให้พัสดุไปถึงผู้รับได้รวดเร็ว ปลอดภัย และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
Check-list สรุปก่อนส่งพัสดุ
1. กล่อง/ซองอยู่ในสภาพดี
2. ไม่มีรอยขาดหรือฉีกขาด
3. ขนาดบรรจุภัณฑ์เหมาะสมกับสินค้า
4. ปิดกล่องหรือซองอย่างแน่นหนา
5. ไม่มีฉลากหรือข้อมูลเก่า
6. ฉลากพัสดุพิมพ์ด้วยกระดาษสติ๊กเกอร์ความร้อน
7. ข้อมูลบนฉลากครบถ้วน และชัดเจน
8. ติดฉลากในตำแหน่งที่เหมาะสม
9. ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ผู้รับ
10. เพิ่มข้อความแจ้งเตือน (ถ้าจำเป็น)
การป้องกันไม่ให้พัสดุตีกลับ เริ่มต้นจากความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมบรรจุภัณฑ์ การเลือกใช้กล่องหรือซองไปรษณีย์ที่เหมาะสมกับลักษณะสินค้า การตรวจสอบสภาพกล่องหรือซองให้สมบูรณ์แข็งแรง และการติดฉลากจัดส่งที่ถูกต้อง ชัดเจน และครบถ้วน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการจัดส่งผิดพลาด ทั้งนี้ยังควรตรวจสอบข้อมูลผู้รับ เช่น เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ และรหัสไปรษณีย์ให้แม่นยำ รวมถึงใส่ข้อความเตือนเมื่อจำเป็น เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการขนส่ง รายละเอียดเหล่านี้แม้จะดูเล็กน้อย แต่สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในแง่ของประสิทธิภาพการจัดส่ง ความพึงพอใจของลูกค้า และช่วยลดต้นทุนที่อาจเกิดจากพัสดุตีกลับหรือเสียหาย ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และน่าเชื่อถือในระยะยาว